1. ความดีงามของสถานที่จัดงาน


อย่างที่รู้กันว่าเทศกาลดนตรีช่วงฤดูหนาวทั้งหลายจะจัดกันที่ต่างจังหวัด โดย Wonderfruit ในปีนี้ก็จะกลับมาอีกครั้งที่ The Fields ณ Siam Country Club จังหวัดชลบุรี แต่ความดีงามของเทศกาลนี้อยู่ตรงการจัดการตกแต่งสถานที่ ซึ่งนอกจากบรรยากาศจะชิลสุดๆ ท่ามกลางธรรมชาติแล้ว ยังเต็มไปด้วยโครงสร้างและงานศิลป์ที่น่าสนใจในทุกๆ จุดของงาน รวมทั้งการแสดงผลงานศิลปะจัดวางที่พวกเราสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมด้วยได้ อย่างเมื่อปีที่แล้วก็มีรถบัสหมอลำอีกด้วย!

ส่วนพิเศษสุดสำหรับปีนี้ ทางออร์แกไนเซอร์นั้นได้เพิ่มเติมเวที Farm Stage ที่ตกแต่งด้วยข้าวที่เก็บเกี่ยวมาแล้ว จัดทำโดย PO-D Architects และ ธ.ไก่ชน และไฮไลท์ใหม่อีกมากมายเช่นเวที Solar Stage และ Wonder Kar โดยดีไซน์เนอร์ Adam Pollina เราคิดว่าใครชอบงานอาร์ตร่วมสมัยน่าจะต้องถูกใจ นอกจากนี้แล้วทางผู้จัดงานยังให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องการดูแลธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมาก เราจะได้ชมภาพยนตร์สารคดีเรื่อง Plastic Oceans ก่อนใคร ซึ่งเป็นเรื่องราวเกียวกับปัญหาของสภาวะมลพิษและปัญหาทางธรรมชาติในปัจจุบัน และยังได้องค์กร Greenpeace มาเป็นอีกส่วนของเทศกาลด้วยนะ
2. สายเวิร์กช็อปเค้าก็มีกิจกรรม


เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งลูกเล่นที่สร้างสีสันให้กับงานอยู่ไม่น้อย หายสงสัยกันไปได้เลยว่าทำไมต้องไปตั้ง 4 วัน ตลอดทุกปีที่ผ่านมาเราจะเห็นได้ว่าที่เทศกาลจะเต็มไปด้วยกิจกรรมที่น่าสนใจให้เราได้เข้าร่วมอยู่ตลอดวัน ไม่ว่าจะเป็นเวิร์กช็อปศิลปะย้อมคราม ทำหน้ากาก เต้นประกอบดนตรี percussion และอื่นๆ อีกหลายอย่างเลย โดยที่กิจกรรมเสวนา Scratch Talks ในปีนี้จะจัดขึ้นในธีม Eco Heroes

ส่วนเวิร์กช็อปอื่นๆ ในปีนี้คาดว่าจะน่าสนใจอยู่ไม่แพ้กันเลย ด้วยทีมงานจาก F.A.C.T Collective และโซน FACT Space ที่อัดแน่นด้วยเวิร์กช็อปสุดธรรมชาติ, TCDC Common x The Archivist รวมไปถึงเวิร์กช็อปมวยไทยโดยนักมวยชื่อดังอย่างบัวขาว
3. กินดีอยู่ดีตลอดงาน


จากปีที่ผ่านๆ มา เราเชื่อว่าหลายคนคงจะเคยเห็นเหล่าร้านรวงที่มาเปิดในบริเวณงานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นร้านค้าเสื้อผ้า ร้านเสริมสวย จนไปถึงบูธอาหารที่หลากหลาย ทั้งแนวสตรีทฟู้ด จนไปถึงร้านอาหารร่วมสมัยติดเทรนด์ อย่างปีที่ผ่านๆ มาก็เคยได้ ร้านกาแฟ Roots, Rocket และอีกหลายแห่งมาเปิดบูธในบริเวณงานเลย ดังนั้นไม่ต้องกลัวว่าจะต้องขับรถเข้าเมืองไปหาของกินแน่นอน

และสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือ Wonder Feast ในปีนี้ ซึ่งจะได้เชฟ Paolo Vitaletti (จาก Peppina/Appia) และ Jarrett Wrisley (จาก Soul Food Mahanakorn) มาดูแลเรื่องอาหารมื้อบรันช์ตั้งแต่หัววัน อีกทั้งยังได้ทีมงาน F.A.C.T Collective มาสร้างสรรค์ประสบการณ์ทานอาหารไทยที่ได้แรงบันดาลใจมาจากทางภาคเหนือและภาคใต้ ในสไตล์ Farm to Table ภายในบรรยากาศที่สวยงามที่เราเคยได้เห็นกันมาแล้ว
4. แฟชั่นจัดเต็ม



ไม่ว่าจะเทศกาลดนตรีไหนๆ แฟชั่นก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ ด้วยความที่ตีมงานนั้นแสนจะโบโฮ ฮิปปี้ ที่อาจจะไม่ได้มีโอกาสใส่กันบ่อยๆ ทุกคนในงานก็เลยจัดเต็มกันตั้งแต่หัวจรดเท้า!


ส่วนใครที่อยากจะไปหาเอาดาบหน้า ก็มีร้านเสื้อผ้าสไตล์ฮิปปี้ โบฮีเมียนให้เลือกซื้อกันได้ในงาน แถมยังมีบูธรับแต่งหน้าทาสีนีออนให้อารมณ์เฟสติวัลสุดๆ มุ่งหน้าเข้าไปใน style zone กันได้เลย
5. ผ่อนคลายกันตลอดงานกับโปรแกรมแสนจะชิล



ความเท่สุดของกิจกรรมโยคะที่ Wonderfruit ในปีที่ผ่านมาต้องยกให้ Sunset Yoga ไปกับดนตรีบีทหนัก และในปีนี้เราก็จะได้ปรมาจารย์จากต่างประเทศมานำสอนคลาสใหม่ๆ เช่น Reiki และ Kundalini รวมทั้งคลาส Ashtanga นำสอนโดย Danny Paradise และ Hatha โดย Anastasis ท่ามกลางบรรยากาศเอาท์ดอร์สุดธรรมชาติ นอกจากนี้แล้วเรายังสามารถพักผ่อนไปกับการว่ายน้ำในทะเลสาบ วิ่ง หรือจะลองบินด้วย Microlight Plane ก็ไม่ผิด! ปีนี้มี Life Cycling ให้เราได้ปั่นจักรยานกันรอบๆ สถานที่จัดเทศกาลอีกด้วย
6. เอาจริงกับที่พักสุดฮิพ



นี่ก็อาจจะเป็นอีกหนึ่งในเหตุผลที่หลายคนไม่กล้าเดินทางไปร่วมงานเทศกาลต่างๆ ที่อยู่ต่างจังหวัด ที่ Wonderfruit นั้นจะจัดแพ็คเกจเต๊นท์หลากหลายไซส์ และประเภทตามความต้องการของเรา หรือจะขับรถ RV camping เข้ามาจะได้ไม่ต้องเดินทางไปเช้า-เย็นกลับ ถือเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่ดีและไม่ได้หาได้ง่ายๆ ในไทยหรอกนะ แต่ขอเตือนไว้หน่อยว่าตอนกลางวันอากาศจะร้อนอยู่ไม่เบา ไปหาที่หลบกันดีๆ ล่ะ อ่านรายละเอียดเรื่องที่พักเพิ่มเติมได้ทาง www.wonderfruitfestival.com/accommodations
7. ไลน์อัพที่ดีงามเอาใจสายอินดี้ตลอดทุกปี

รู้นะว่าพวกเราร้องเพลงตาม Big Ass, Palmy และ Tattoo Color กันได้สบาย แต่ขาอินดี้อินเตอร์ก็จะปลาบปลื้มกับความเจ๋งอีกอย่างของเทศกาลนี้คือลิสต์ศิลปินต่างประเทศที่ทางผู้จัดได้คัดสรรมาเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะชอบเพลงแนวฮิพฮอพ R&B อิเล็กทรอนิกส์ เทคโน ไปจนถึง World Music จากปีแรกได้ทั้ง Little Dragon และ De La Soul มาสร้างสีสันได้เยอะมาก

(Rudimental)

(Shura)
ส่วนปีนี้พวกเราก็ได้ไปเกาะติดเวทีของ Rudimental, Matador, Shura, Lianne La Havas บวกกับศิลปินไทยนอกกระแส อาทิ Rasmee Isan Soul และ Sriraraj Rockers แถมรอบดึกยังมีเวที Query Stage ที่มีดีเจสับเปลี่ยนมาเปิดเพลงให้แด๊นซ์ยันเช้ากันเลยทีเดียว คนชอบซาวด์ดนตรีที่น่าสนใจอยู่แล้วก็คงจะดีใจที่ไม่ต้องบินไปถึงต่างประเทศกันแล้ว ส่วนใครที่ยังไม่คุ้นเคยก็ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีที่จะเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ นะ :)
ถ้ายังไม่ได้ตัดสินใจก็อย่าได้รอช้า เพราะตอนนี้ได้เข้าสู่ช่วงที่สองในการขายบัตรแล้วนะ
บัตรราคา 5,500 บาท (4 วัน) เช็กรายละเอียดแพ็คเกจต่างๆ ได้ทาง www.wonderfruitfestival.com
16-19 ก.พ. 2560
16-19 ก.พ. 2560
The Fields at Siam Country Club พัทยา จ.ชลบุรี
แล้วเรามา Live. Love. Wonder ด้วยกันปลายปีนี้นะ :)